พ่อแม่ร้องสื่อขอความเห็นใจ ลูกสาวอายุ 13 ปี ถูกรถฟอร์จูนเนอร์ชนกลางสี่แยกวัดใจ บาดเจ็บอาเจียนเป็นเลือด ขอค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถ ค่าทำขวัญ 20,000 บาท แต่คู่กรณีให้ 3,000 ด้านตำรวจแนะนำให้ไปหาทนายเก่ง ๆ ฟ้องเอา



นางนิภาวรรณ เวโรจน์ อายุ 44 ปี ชาวบ้านหมู่ 3 ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เล่าว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 29 ธันวาคม ลูกสาวขี่มอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียน แล้วไปถูกรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ชน ที่สี่แยกซอยข้างโรงพยาบาลสตึก ซึ่งเป็นแยกวัดใจไม่มีสัญญาญไฟ หลังมีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้ง รีบไปหาลูก หมอมาแจ้งว่า ลูกอาเจียนเป็นเลือด เกรงสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง ต้องส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ หลังจากนั้น 2 วัน หมอให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน จนถึงวันนี้ลูกสาวยังปวดหัวไม่หาย จึงไม่กล้าให้ลูกไปโรงเรียน



หลังเกิดเหตุ ได้ไปเจรจากับนายพิสิทธิ์ อายุ 45 ปี เจ้าของรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากนายพิสิทธิ์จะจ่ายเงินเยียวยาทั้งหมด ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถ และค่าทำขวัญ รวมเป็นเงิน 3,000 บาท จึงอยากร้องขอความเห็นใจ เพราะตอนนี้ตนจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปแล้ว 10,800 บาท รถก็พังเสียหาย คนก็ยังมีอาการไม่ปกติ แต่นายพิสิทธิ์ ยืนยันว่า 3,000 บาท เพียงพอแล้ว เมื่อขอความช่วยเหลือกับตำรวจเจ้าของคดี ได้รับคำตอบว่า "ให้ไปจ้างทนายเก่ง ๆ แบบชั้น 1 ไม่ต้องเอาทนายกิ๊กก๊อกในพื้นที่มานะ เดี๋ยวจะแพ้" ทำให้ครอบครัวไม่มีทางออก ต้องมาร้องขอความช่วยเหลือจากสื่อ



ด้านนายพิสิทธิ์ คนขับรถฟอร์จูนเนอร์ อาชีพพนักงานขายประกัน เปิดเผยทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า ไม่สามารถชดใช้ตามคำเรียกร้องของผู้เสียหายได้ เพราะกฎหมายไม่เอื้อ ทั้งเรื่องที่เด็กอายุ 13 ปี ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ มอเตอร์ไซค์ไม่ได้ต่อ พ.ร.บ.ภาคบังคับ ขณะที่ตนเองมีครบ ทั้งใบอนุญาตขับขี่ พ.ร.บ.ภาคบังคับ ประกันภาคสมัครใจ(ชั้น1) ซึ่งพร้อมจะจ่ายให้ แต่ตนไม่ผิด เพราะเป็นการชนอยู่กลางสี่แยก ต่างคนต่างผิดถือเป็นการประมาทร่วม ตำรวจระบุชัดเจน ต่างคนต่างซ่อมรถ อีกฝ่ายก็ต้องรักษาพยาบาลเอง



ส่วนเด็กที่ได้รับบาดเจ็บถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเด็กไปล้มใส่พื้นปูนเอง ส่วนตนเองไม่เป็นไร เพราะเหล็กหุ้มหนัง ถ้าจะให้จ่ายตามคำเรียกร้องของคู่กรณี คือค่ารักษา 10,800 บาท ค่าซ่อมรถอีกประมาณ 5,000 บาท และค่าทำขวัญอีก ก็จะตกราว ๆ 20,000 บาท ถ้าตกลงกันแบบนี้ เขาต้องมาซ่อมรถของตนเองได้รับความเสียหายเช่นกัน พร้อมทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย น่าจะไปหาทำข่าวที่มันสร้างสรรค์กว่านี้ ไม่ได้สอนนะ แต่แนะนำ



นางสาวอบเชย อายุ 52 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่ง และเจ้าของคลิปวงจรปิด เล่าว่า ตอนเกิดเหตุตนเห็นกับตา คนขับรถยนต์ไม่ยอมชะลอความเร็ว ต่างจากคันอื่นๆ ที่ชะลอความเร็วก่อนเข้าแยกวัดใจ จากภาพจะเห็นว่าน้องขี่รถเกือบจะพ้นแล้ว แต่รถยนต์ ไม่ยอมชะลอเหมือนไม่ได้มองทาง ทำให้ชนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ ภาพตอนนั้นยังติดตา น้องนอนแน่นิ่งไม่ได้สติ โชคดีมีพยาบาลขับรถผ่านมา ช่วยปั๊มหัวใจน้องจนฟื้น



จากนั้นได้มีตำรวจเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตนเสนอตัวไปเป็นพยายานในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ และจะมอบภาพกล้องวงจรปิดให้ตำรวจไปวิเคราะห์ว่า ใครเป็นฝ่ายผิด ใครเป็นฝ่ายถูก แต่ตำรวจบอกว่า "ไม่เอาแค่นี้เพียงพอแล้ว" สุดท้ายโดนตำรวจมาต่อว่า ทำไมต้องให้ภาพวงจรปิดพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์ครั้งนี้ตนยืนยันรถยนต์เป็นฝ่ายผิด