ศึก 2 ภรรยา 'เสี่ยก้อง' ตั้ง 'ทนายตั้ม vs ทนายเดชา' สู้คดี 'แหม่ม' ปล่อยโฮชี้แจง ยันไม่ได้ลวงไปฆ่า

อาชญากรรม

ศึก 2 ภรรยา 'เสี่ยก้อง' ตั้ง 'ทนายตั้ม vs ทนายเดชา' สู้คดี 'แหม่ม' ปล่อยโฮชี้แจง ยันไม่ได้ลวงไปฆ่า

โดย thichaphat_d

2 ก.พ. 2565

480 views

จากกรณีการเสียชีวิตของ นายอภิชาต พูลเผือก หรือ เสี่ยก้อง อายุ 39 ปี เจ้าของธุรกิจร้านเกาลัดชื่อดัง ในจังหวัดกาญจนบุรี ประสบอุบัติเหตุตกจากรถยนต์กระบะ ที่มีนางสาวแหม่ม สาวคนสนิท เป็นคนขับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2565 ก่อนจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา

โดยกล้องหน้ารถที่ขับตามหลังมา สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน โดยในกล้องนั้น มีเสียงของน้องชาย นางสาวแหม่ม “พูดว่าไม่ต้องลงไปช่วย ปล่อยมัน” ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับญาติของผู้เสียชีวิต เกิดข้อสงสัยว่า การกระทำของนางสาวแหม่ม ส่อเจตนาต้องการให้ เสี่ยก้องเสียชีวิตหรือไม่ เพราะไม่ให้ความช่วยเหลือ  

วานนี้ นางสาวเเหม่ม เเละนายเจฟ น้องชาย เข้าพบทนายเดชา เพื่อขอคำปรึกษาทางคดี ก่อนจะเเถลงต่อสื่อมวลชน พร้อมกับนำคลิปจากกล้องหลังรถ มาเปิดให้ดู ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญว่าหลังเกิดเหตุ นางสาวเเหม่มเเละน้องชาย พยายามให้การช่วยเหลือผู้ตาย

โดย นางสาวเเหม่ม เปิดใจว่า เล่าเหตุการณ์ไล่เรียงตั้งแต่เกิดเหตุ ตนเองและเสี่ยก้อง มีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากันมานาน 5 ปี และมีลูกด้วยกัน 1 คน อายุ 6 เดือน โดยก่อนจะมาคบหากัน เสี่ยก้องบอกว่า เลิกกับภรรยาเก่าไปแล้ว แต่ต้องกลับไปบ้านภรรยาเก่าเป็นบางครั้ง เพราะต้องดูแลลูก

ตนก็ยอมรับได้ในเรื่องนี้ และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตลอด 5ปี ทั้งครอบครัวตนและครอบครัวเสี่ยก้อง รับรู้มาตลอด จนกระทั่งวันเกิดเหตุ ตนไปธุระและขับรถผ่านคลินิก เห็นรถ จยย.ของเสี่ยก้องจอดอยู่กับรถยนต์คันหนึ่ง ตนจึงเข้าไปดู และพบว่า เสี่ยก้องพาภรรยาเก่า ซึ่งตั้งท้องมาหาหมอที่คลินิก ตนตกใจมาก จึงเรียกเสี่ยก้อง และภรรยาเก่ามาคุยกัน แต่ภรรยาเก่าก็เข้าไปในคลินิก

ส่วนเสี่ยก้อง ก็ยืนทะเลาะกับตนที่หน้าคลินิก โดยตนบอกเสี่ยก้องและภรรยาเก่าไปคุยกันสามคน เพื่อเคลียร์ปัญหา แต่เสี่ยก้องไม่ยอม และพยายามบ่ายเบี่ยง ตนจึงขอเลิก จนสุดท้ายเสี่ยก้องก็ยอมขึ้นรถกระบะของตน เพื่อที่จะไปบ้านของภรรยาเก่าด้วยกัน ช่วงที่มีปากเสียงที่คลินิกมีภาพของเสี่ยก้องยืนหน้าคลินิก โดยไม่ได้มีการอุ้มไปทำร้ายร่างกายตามที่ถูกกล่าวหา

เมื่อเสี่ยก้องขึ้นรถไปกับตน ระหว่างทางมีปากเสียงกันมาตลอด โดยเสี่ยก้องบอกให้ตนหยุดรถ และไม่ให้ไปบ้านของภรรยาเก่า ตนก็ไม่หยุด และเสี่ยก้องก็พูดว่าหากไม่หยุด จะกระโดลงจากรถ จากนั้นเสี่ยก้องก็กระโดดลงเอง ก็เป็นไปตามในคลิปที่เห็น

คลิปที่เห็นคือกล้องหน้ารถของนายเจฟ น้องชายตน ซึ่งนายเจฟเป็นคนขับรถตาม เมื่อเห็นว่า เสี่ยก้องกระโดดลงจากรถ และนอนแน่นิ่งไป ก็เข้าใจว่าแกล้ง เพราะเวลาที่เสี่ยก้องทะเลาะกับตนมักจะประชดเป็นประจำ นายเจฟและคนสนิทรับรู้มาตลอด พอมาเจอเหตุการณ์นี้ ก็เข้าใจว่าเสี่ยก้องทำประชด  นายเจฟ จึงตะโกนบอกให้ตนไม่ต้องลงไปช่วย ตามในคลิปที่ออกมา

แต่ความจริงนั้น ตนและนายเจฟเข้าไปช่วยเหลือ โดยมีกล้องหลังของรถน้องชายบันทึกเหตุการณ์ได้ โดยนางสาวแหม่ม เปิดคลิปกล้องหลังรถ และอธิบายว่า ในคลิปจะเห็นร่างของเสี่ยก้อง นอนแน่นิ่งอยู่ข้างถนน จากนั้นลูกน้องของเสี่ยก้องก็ลงไปดู พยายามพยุงร่างของเสี่ยก้อง และเพื่อนของนายเจฟก็ลงไปช่วยอีกคน ส่วนนายเจฟ ก็เดินมาดู และกลับไปขับรถ ถอยหลังมาจุดที่เสี่ยก้องกระโดด แล้วเข้าไปช่วยอีกครั้ง และพูดว่า “พาเขาไปรพ.”

จากนั้น ทั้งหมดก็พยายามพยุงนำร่างของเสี่ยก้องขึ้นรถฟอจูนเนอร์ ของนายเจฟ แต่ไม่สามารถนำขึ้นรถได้เพราะตัวใหญ่ ตอนนั้นนางสาวแหม่มเห็นว่า เสี่ยก้องแน่นิ่งไปนาน และมีเสียงกรน ตามร่างกายไม่มีบาดแผลหรือเลือดออก เข้าใจว่าสลบ จึงตบหน้าเสี่ยก้องและเรียกชื่อ แต่ก็ไม่มีการตอบรับ จึงตัดสินใจโทรแจ้งกู้ชีพ มาช่วย และนำไปส่ง รพ.

จากนั้น ก็โทรบอกเพื่อนสนิทเสี่ยก้อง รับทราบและเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนสนิทเสี่ยก้องฟัง และบอกว่ามีกล้องหน้ารถบันทึกเหตุการณ์ได้ จึงให้ช่าง ถอดกล้องหน้ารถ ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ 22 มกราคม ไปตรวจสอบ ไม่ได้มีการนำกล้องไปทำลายตามที่เป็นข่าว  

ส่วนกรณีที่ ในภาพจะเห็นว่า ก่อนที่เสี่ยก้องจะกระโดดลงไป นางสาวแหม่ม ขับรถเร็วและกระชาก นางสาวแหม่มชี้แจงประเด็นนี้ว่า วันนั้นขับด้วยความเร็วประมาณ 40 และที่เห็นว่ามีการกระชากนั้นเป็นการเข้าเกียร์ เพราะรถเป็นเกียร์ธรรมดาจึงต้องกระชากและเร่งเครื่อง

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเสียใจมาก ที่ตกเป็นจำเลยสังคม ทั้งที่ไม่ได้ทำ ไม่มีเจตนาจะไม่ช่วย แต่คิดว่าเป็นการประชด และปล่อยเสี่ยก้องแน่นิ่งเพียงแค่ 3 นาที ก็เข้าไปช่วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้สามีตนเองเสียชีวิต และเรื่องทั้งหมด ญาติของเสี่ยก้องก็รับรู้ตั้งแต่วันแรก

หากเสี่ยก้องยังอยู่ก็อยากบอกว่า เสียใจมาก ไม่น่าทำแบบนี้ และขอยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดไม่ใช่การลวงมาฆ่า  

ทางด้าน นายเจฟ น้องชายนางสาวแหม่ม ก็เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ไม่มีเจตนาจะไม่ช่วยหรือต้องการให้เสี่ยก้องตาย เพราะตนก็รักเสี่ยก้องเหมือนพี่ชายแท้ๆ ไปไหนมาไหนด้วยกันมาตลอด ไม่เคยคิดร้ายจะฆ่ากัน แต่ที่ต้องพูดประโยคว่าไม่ต้องลงไปช่วย เพราะคิดว่าเขาทำประชดเขาแกล้ง เพราะทำแบบนี้เป็นประจำ และคิดว่าการกระโดรถลงไปคงไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิตเพราะตนก็เคยกระโดดลงจากรถเมล์ ก็ไม่เป็นไร

ส่วนที่ออกมาชี้แจงช้า เพราะไม่รู้จะไปชี้แจงกับใคร ยอมรับว่า หลังจากนี้ กังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะญาติทุกคนมีอารมณ์โกรธ และเข้าใจว่า พวกตนเป็นคนทำให้เสี่ยก้องตาย

ขณะที่ ทนายเดชาระบุว่า เรื่องนี้ มีหลักฐานสำคัญทั้งพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ กล้องที่บันทึกหลังเกิดเหตุ สามารถอธิบายได้ ซึ่งหากฝ่ายญาติจะดำเนินคดีกับนางสาวแหม่มและน้องชายก็เป็นสิทธิที่ทำได้ตามกฎหมาย

ทนายเดชา บอกอีกว่า การที่ญาติผู้ตายจะกล่าวหานางสาวเเหม่ม หรือต้องการดำเนินคดี ก็เป็นสิทธิ์ ซึ่งทาง นางสาวเเหม่ม ก็มีสิทธิ์ที่จะสู้คดี สำหรับหลักฐานในทางคดี คือคลิปที่ผู้ตายตกลงจากรถ ซึ่งชัดเจนเเล้วว่ากระโดดลงจากรถเอง หลังจากนี้ต้องไปสู้กันในชั้นศาล ซึ่งตนเองรับเป็นที่ปรึกษาทางคดีให้

ด้าน นางสาวนุ่น ภรรยาคนแรกของเสี่ยก้อง เปิดเผยว่า หลังจากทราบเรื่องการแถลงข่าวของนางสาวแหม่มและน้องชาย และนำหลักฐานการช่วยเหลือเสี่ยก้องมาเปิดเผย ตนก็ยังไม่เชื่อคำให้การของนางสาวแหม่มและน้องชาย ซึ่งตนเชื่อว่า การเสียชีวิตของเสี่ยก้องสามี มีเงื่อนงำ เพราะการที่คลิปกล้องหน้ารถ มีการพูดเรื่องไม่ช่วยเหลือ ตั้งแต่เกิดเหตุทันที หมายความว่าอย่างไร

โดยส่วนตัวตนเองไม่เชื่อกับสิ่งที่นางสาวแหม่มและน้องชายออกมาเปิดเผย ซึ่งตอนนี้ ตนและครอบครัว ให้ทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ช่วยดูแลคดีนี้ ส่วนความสัมพันธ์ ระหว่างตนเองกับเสี่ยก้อง นั้นยืนยันว่า สถานะคือสามีภรรยามานานแล้ว และมีลูกด้วยกัน 1 คนและกำลังตั้งท้องอีก 1 คน ซึ่งในอดีต นางสาวแหม่มก็เคยมาหาเรื่องตนถึงบ้าน กรณีเรื่องชู้สาว และยืนยันว่านางสาวแหม่ม รับรู้สถานะระหว่างตนกับเสี่ยก้องว่าคือสามีภรรยากันมาตลอด

นอกจากนี้ มีรายงานว่า หลังจากเสี่ยก้องเสียชีวิต มีคนไปติดต่อกับตำรวจ เพื่อขอเอกสารบันทึกการเสียชีวิต เพื่อจะนำไปเบิกประกันชีวิต เรื่องนี้นางสาวนุ่น ระบุว่า เป็นคนบอกให้นางสาวแหม่มไปติดต่อกับตำรวจเอง เพราะสามีทำประกันชีวิตไว้ แต่นางสาวแหม่มไม่ยอมไป ตนจึงต้องไปทำเรื่องเอง ซึ่งจากการสังเกต พบว่า นางสาวแหม่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหลังจากเสี่ยก้องเสียชีวิต


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/sbylW70D-TA

คุณอาจสนใจ

Related News