กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ได้ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจ ปี 2020 World Economic Outlook  ปรากฏว่า ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง 0.5% มาอยู่ที่ 4.4%

โดยระบุว่า การระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนเป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางการเติบโต ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า อุปสรรคที่เกิดจากการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ปี 2022 ในสถานะที่อ่อนแอกว่าที่คาด โดยมีแนวโน้มขยายตัว 4.4% ลดลงจากตัวเลขซึ่งไอเอ็มเอฟคาดการณ์เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว 0.5% โดยเศรษฐกิจโลกในปี 2021 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5.9%

นอกจากนั้น เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความเสี่ยง จากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์  และ ราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ และมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่เคยคาดไว้

โดยความเสี่ยงเหล่านี้ จะกดดันการเติบโตในช่วงไตรมาสแรก ก่อนจะเริ่มบรรเทาลงในไตรมาสที่ 2 ภายใต้สมมติฐานว่า การระบาดของโอมิครอนซาลง และไม่มีไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มต่างๆ  

ทางด้าน นางจิตา โกปินาถ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ กล่าวด้วยว่า ความสูญเสียทางเศรษฐกิจโลกที่สะสมจากวิกฤตโควิดในช่วง 5 ปี จนถึงปี 2024นั้น คาดว่าจะสูงถึงเกือบ 14 ล้านล้านดอลลาร์ทีเดียว (ราว 462 ล้านล้านบาท)

ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟ ยังได้ปรับลดแนวโน้มการเติบโตของจีดีพี  สหรัฐฯ ในปีนี้ลงอีก 1.2% มาอยู่ที่ 4% ขณะที่ปี 2021 สหรัฐมีอัตราการขยายตัวที่ 5.6% ส่วนจีนนั้น ก็ถูกปรับลดลง 0.8% มาอยู่ที่ 4.8% เช่นกัน

สำหรับกลุ่มเอเซียน 5 (อาเซียน ไฟว์) ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ นั้นปีนี้ จะมีอัตราการเติบโตของจีดีพีรวมกันที่ 5.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2021 ซึ่งอยู่ที่ 3.1%

ขณะเดียวกัน นาย เจอโรม เพาเวลส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ได้แถลงว่า เฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ในราวเดือนมีนาคมนี้ หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ 0-0.25% มาเป็นเวลานาน เพื่อควบคุมไม่ให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นเกินไป ซึ่งเมื่อปีที่แล้วดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคในสหรัฐพุ่งขึ้นไปถึง 7% ทีเดียว