ตำรวจคุมตัวคนร้ายเจาะฝ้าเพดานโรยตัวเข้าไปชิงทองและทำร้ายเจ้าของร้านบาดเจ็บ กวาดทองไปมากกว่า 300 บาท ไปทำแผน

พลตรีโท อำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง คุมตัวนายชาย ออง อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาในคดีชิงทอง มาแถลงผลการจับกุม พร้อมของกลางเป็นทองรูปพรรณ จำนวนกว่า 300 บาท และเงินสดจำนวนหนึ่งที่คนร้ายขโมยไป โดยระหว่างนั้นได้มีการสอบถาม นายชาย ผ่านล่าม บอกว่า ตนเองเคยเป็นช่างก่อสร้างมาก่อน จึงมีความรู้เรื่องการเจาะพดาน และการซ่อมแซมเป็นอย่างดี จึงลงมือก่อเหตุไม่ยาก

โดยผู้ต้องหาก่อเหตุปีนหลังคาชั้น 2 แล้วเจาะฝ้าเพดานห้องน้ำชั้น 2 กระโดดลงมาจี้บังคับคนในร้านทอง ให้ลงไปเปิดตู้เซฟเก็บทองรูปพรรณที่ชั้นล่าง แต่กลับไปเจอนายสมหวัง ผู้บาดเจ็บ นอนดูทีวีอยู่ จึงเกิดการต่อสู้ คนร้ายได้ใช้ไม้กระหน่ำตีศีรษะคนในบ้านทั้ง 2 คนและบังคับให้เปิดตู้เซฟ

จากนั้นได้กวาดทองรูปพรรณจำนวน 300 กว่าบาท มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และเงินสดอีกจำนวนหนึ่งปีนออกจากร้านหลบหนีไป หลังร้านบริเวณที่รกร้างและขี่รถ จยย.ไม่ทราบสี ยี่ห้อและหมายเลขทะเบียนไปตาม ถ.กระบี่ผ่านสี่แยก ถ.ปฏิพัทธ์ตัด ถ.กระบี่มุ่งหน้าผ่านแยกซิมจั่น(โรงไม้ตะกั่วป่า)ไปตาม ถ.วิชิตสงคราม แล้วเลี้ยวหายไปที่บ้านหลังหนึ่ง ด้านหน้าเป็นคาร์แคร์ เหตุเกิดเมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 23 ต.ค.64

จากนั้นตำรวจได้คุมตัว นายชาย ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่เกิดเหตุ รวมทั้งหมด 7 จุด เริ่มตั้งแต่นายชาย เดินมาดูลาดเลาหน้าร้านทอง และก่อเหตุทุบฝ้าเพดาน เข้ามาภายในร้าน และทำร้ายร่างกายนางพวงเพ็ญ และนายหวังดี ผู้บาดเจ็บ 2 ราย ก่อนปีนหลบหนีไปทางช่องทางเดิม และเปลี่ยนเสื้อผ้าขี่รถหลบหนี

สำหรับนายชาย รับสารภาพว่า ทำงานเป็นลูกจ้างของนายจ้างคนหนึ่งซึ่งมีธุรกิจหลายอย่าง อยู่ในไทยมาประมาณ 12 ปีแล้ว ก่อนเกิดเหตุได้มาดูลาดเลาร้านทองที่เกิดเหตุแล้ว 2-3 ครั้ง เมื่อขโมยทองสำเร็จหวังจะนำไปขายใช้หนี้การพนันแต่ยังไม่ได้ขาย ตำรวจตามไปที่บ้านพักก่อน กระทั่งเจอทองรูปพรรณน้ำหนัก 363 บาท ซึ่งยังอยู่ครบทั้งหมด ส่วนเงินสดที่ขโมยไปประมาณ 100,000 บาท พบเหลือเพียง 30,000 กว่าบาท

หลังทำแผนเสร็จ ตำรวจได้คุมตัวนายชายกับมาที่โรงพัก เพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนจะสรุปสำนวนในคดี เพื่อส่งฝากขัง เบื้องต้นแจ้งข้อหาลักทรัพย์ ,ทำร้ายร่างกาย,และข้อหาบุกรุก ไว้ก่อน ส่วนข้อหาอื่นๆ ตอนนี้กำลังเร่งสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป