ผู้ว่าฯกาญจนบุรี สั่งย้ายผู้บำบัดวัดท่าพุ หลังถูกร้องจนท.ทำร้ายร่างกาย

สังคม

ผู้ว่าฯกาญจนบุรี สั่งย้ายผู้บำบัดวัดท่าพุ หลังถูกร้องจนท.ทำร้ายร่างกาย

โดย thichaphat_d

20 ก.ย. 2564

1.7K views

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีสถานบำบัดวัดท่าพุ พบเรือนนอนสุดแออัด ผู้บำบัด 216 คนมีห้องน้ำเพียง 2 ห้อง ตัดสินใจสั่งขนย้ายผู้บำบัดทั้งหมดไปอยู่ที่ค่ายทหารชั่วคราว ความคืบหน้า กรณี หมอปลา พร้อมด้วยทนายไพศาล ได้เดินทางลงพื้นที่วัดท่าพุราษฏร์บำรุง ซึ่งเปิดเป็นศูนย์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี


หลังได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง ของชายวัยรุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้ารับการบำบัดว่า ในระหว่างเข้ารับการบำบัด ได้ถูกเจ้าหน้าที่ของศูนย์บำบัดทำร้ายร่างกาย จนได้รับบาดเจ็บหนัก ซึ่งหลังจากหมอปลาพร้อมด้วยทนายไพศาล ได้พูดคุยกับพระและเจ้าหน้าที่ของศูนย์บำบัด พร้อมขอให้ทำการเปิดเรือนนอนของผู้บำบัด


เพื่อจะได้พูดคุยสอบถามข้อเท็จจริงจากกลุ่มผู้เข้ารับการบำบัด แต่ทางศูนย์บำบัดไม่ยอมเปิดพื้นนอนโดยอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัย ทำให้หมอปลาต้องตัดสินใจโทรศัพท์หา นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อให้ช่วยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของศูนย์บำบัดยินยอมเปิดประตูเรือนนอนนั้น


ปรากฏว่า หลังได้รับโทรศัพท์จากหมอปลา นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีได้เดินทางลงพื้นที่วัดท่าพุราษฏร์บำรุง ด้วยตนเอง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามข้อร้องเรียนหรือไม่ โดยทันทีที่มาถึง หมอปลาและทนายไพศาล ได้พาผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ไปยังเรือนนอนของผู้เข้ารับการบำบัดพร้อมพูดคุยกับกลุ่มผู้เข้ารับการบำบัดที่ถูกขังอยู่ภายใน


โดยผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีรับปากว่าจะพยายามพูดคุยหาทางออก เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็วที่สุด จากนั้น ได้ร่วมพูดคุยกับทางพระและเจ้าหน้าที่ของศูนย์บำบัด รวมถึงหมอปลาและทนายไพศาล โดยหมอปลายืนยันว่า ตนเองได้รับการร้องเรียน รวมถึงมีหลักฐานยืนยันว่าสถานบำบัดแห่งนี้ มีการทำร้ายร่างกายผู้เข้ารับการบำบัด มีการกักขังผู้เข้ารับการบำบัดไว้ในโรงนอนที่มีความแออัด และมีห้องน้ำเพียง 2 ห้อง


ในขณะที่มีผู้เข้ารับการบำบัดอาศัยอยู่ภายในเรืองนอนถึง 216 คน พร้อมขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีพูดคุยสอบถามข้อมูลกับกลุ่มผู้บำบัดโดยตรง เนื่องจากเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของศูนย์จะปิดบังข้อมูลไม่ให้ข้อเท็จจริงกับทางผู้ว่าและส่วนราชการ ซึ่งทำให้กลุ่มเจ้าหน้าที่ของศูนย์บำบัดเกิดความไม่พอใจจนมีปากเสียงโต้เถียงกันไปมาหลายครั้ง


หลังการพูดคุยราว 20 นาที ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีจึงได้สรุปว่า จะได้ประสานเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 17 นำรถทหาร มารับกลุ่มผู้บำบัด ที่อยู่ในเรือนนอนจำนวน 216 คน รวมถึง กลุ่มผู้บำบัดที่บวชเป็นพระสงฆ์อยู่ภายในกุฏิอีกหลายสิบคน ไปอยู่ที่ค่ายทหารเป็นการชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าสถานที่เรือนนอนภายในศูนย์บำบัดมีความคับแคบ แออัด และไม่มีความพร้อมในการดูแลผู้เข้ารับการบำบัดจำนวนมาก จึงให้มีการเคลื่อนย้ายผู้เข้ารับการบำบัดทั้งหมดกว่า 300 คนไปอยู่ที่ค่ายฝึก เขาชนไก่เป็นการชั่วคราวโดยทันที


โดยหลังขนย้ายกลุ่มผู้บำบัดเสร็จเรียบร้อย จะได้มีการจัดทำประวัติของกลุ่มผู้เข้ารับการบำบัดพร้อมติดต่อครอบครัว ให้เข้ามาพบกับเจ้าหน้าที่และตัดสินใจว่าจะรับกลุ่มผู้บำบัดกลับบ้าน หรือจะส่งไปเข้ารับการบำบัดที่อื่นต่อ ในส่วนของศูนย์บำบัดแห่งนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมและพร้อมรองรับผู้เข้ารับการบำบัดจำนวนมาก แต่หากไม่สามารถปรับปรุงได้ก็อาจจะต้องปิดรับ ผู้เข้ารับการบำบัดไปโดยปริยาย


ซึ่งในเรื่องนี้ก็จะต้องขึ้นอยู่กับการหารือกับทางศูนย์บำบัดอีกครั้ง โดยทันที ที่กลุ่มผู้เข้ารับการบำบัด ซึ่งถูกขังอยู่ภายในเรือนนอน ทราบข่าวว่าจะได้ออกจากศูนย์บำบัดแห่งนี้ ต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจและกล่าวขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีรวมถึงหมอปลาและทนายไพศาล และเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ที่ช่วยให้กลุ่มผู้เข้ารับการบำบัดได้หลุดพ้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ 


โดยเมื่อช่วงเวลา 19.30 น. รถทหารจากมณฑลทหารบกที่ 17 ได้เริ่มเดินทางมารับ กลุ่มผู้บำบัดไปอยู่ที่ค่ายฝึกเขาชนไก่ทันที โดยจะขนย้ายผู้เข้ารับการบำบัดทั้งหมดกว่า 300 คนให้เสร็จสิ้นภายในคืนนี้ เนื่องจากผู้บำบัดส่วนใหญ่เกรงว่าหากยังต้องนอนค้างคืนที่ศูนย์บำบัดในคืนนี้อาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้


ทั้งนี้ จากการสอบถามข้อมูลกับกลุ่มผู้เข้ารับการบำบัด ทำให้ทราบว่า ในการมาเข้ารับการบำบัดนอกจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 12,000 บาท ทันทีที่เข้ามารับการบำบัดแล้ว ผู้กำกับทุกคนจะต้องถูกส่งมาอยู่ในเรือนนอนซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียว ที่มีความแออัด และมีห้องน้ำเพียง 2 ห้องไม่เพียงพอกับจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดที่มากถึง 216 คน


แต่หากผู้เข้ารับการบำบัดรายใดไม่อยากอยู่ในเรือนนอน ก็จะต้อง ยินยอมบวชเป็นพระสงฆ์ เพื่อจะได้ไปอาศัยอยู่ในกุฏิของพระสงฆ์ แต่ในการจะบวชพระนั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเองอีก 20,000 บาทแลกกับการจะได้บวชเป็นพระและไม่ต้องอยู่ในเรือนนอน

คุณอาจสนใจ

Related News