เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพ กู้ภัย สะท้อนปัญหาการทำงานในช่วงการระบาดของเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้เมื่อเข้าไปช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมาอยู่ในรถกู้ชีพ แต่หลายครั้งไม่สามารถหาโรงพยาบาลไปส่งผู้ป่วยได้ เป็นความหนักใจของเจ้าหน้าที่ด่านหน้า แต่ก็เข้าใจแพทย์และพยาบาลฉุกเฉินที่เตียงล้นออกมาลานจอดรถ ไม่สามารถเพิ่มเตียงได้อีก และแสดงความคิดเห็นว่าการเพิ่มเตียง แต่ไม่ได้เพิ่มบุคลากร อาจจะแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด

ทุกเย็นอาสาสมัครคนนี้จะเป็นไรเดอร์ คอยส่งยาให้ถึงบ้านผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาแบบ Home Isolation เพราะไม่อยากให้ผู้ติดเชื้ออาการหนักขึ้น จนต้องเข้ารับการรักษาในรพ.เพราะนั่นหมายถึงอาการวิกฤตเสี่ยงต่อชีวิตแล้ว และการหาเตียงเข้ารักษาก็ยากมาก สาเหตุที่เขาทราบดี เพราะทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่กู้ชีพ กู้ภัย มานานกว่า 20 ปี

เขาเล่าถึงการทำงานในช่วงโควิด-19 ว่า เมื่ออาสาสมัครกู้ภัย เข้าไปช่วยชีวิตแต่หากพบว่าอาการหนักขึ้น ต้องได้รับการช่วยเหลือในขั้นที่สูงขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยกู้ชีพ ซึ่งในช่วงนี้จะมีผู้สูงอายุป่วยด้วยโรคเรื้อรังอยู่แล้ว หากติดเชื้อโควิด ก็จะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพ ทำการช่วยชีวิตเบื้องต้น และเมื่อรับผู้ป่วยมาอยู่ในรถแล้ว มักประสบปัญหาว่า รพ.ประกันสังคมของผู้ป่วย ไม่สามารถรับเข้ารักษาได้

หลายครั้งต้องขับรถโดยไม่ทราบปลายทางว่าจะนำผู้ป่วยไปส่งรพ.ใด บางครั้งจอดรถบนทางด่วน บางครั้งขับรถวนหลายรอบ แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้โทษ โรงพยาบาล เพราะแพทย์และพยาบาล 1 คนต้องรับมือกับผู้ป่วยเกินกำลังจะรับไหวอยู่แล้ว ดังเช่นคลิปที่ปรากฎผู้ป่วยล้นมาจนถึงลานจอดรถ แพทย์และพยาบาลเป็นลมขณะปฏิบัติหน้าที่ และติดเชื้อกันหลายคน

ในฐานะที่เผชิญเหตุการณ์ฉุกเฉินด้วยตัวเอง หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ขณะนี้ได้ขยายเตียง รองรับผู้ติดเชื้อเป็น 100 เตียง แต่ปัญหาอยู่บุคลากรทางการแพทย์มีเพียงพอหรือไม่ ที่ผ่านมาพบเหตุสะเทือนใจ โดยผู้ติดเชื้อตั้งครรภ์ คลอดบุตรในรถกู้ชีพ โดยลูกรอดชีวิตแต่แม่เสียชีวิต ในฐานะผู้ปฏฺบัติบัติหน้าด่านหน้า อยากเป็นสะท้อนของเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ให้ผู้บริหารและผู้มีอำนาจรับฟังปัญหาจากผู้ปฏิบัติหน้างานเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน