ปารีสประท้วงเดือด ไม่เอาบัตรรับรองสุขภาพ ด้านซิดนีย์-เมลเบิร์น ฮือต้านล็อกดาวน์

ต่างประเทศ

ปารีสประท้วงเดือด ไม่เอาบัตรรับรองสุขภาพ ด้านซิดนีย์-เมลเบิร์น ฮือต้านล็อกดาวน์

โดย thichaphat_d

26 ก.ค. 2564

8 views

ชาวปารีสรวมตัวประท้วงรัฐบาลฝรั่งเศส แสดงความไม่พอใจมาตรการให้บัตรผ่านพิเศษแก่ผู้ที่รับวัคซีนโควิดแล้ว โดยการประท้วงบานปลายจนเกิดการปะทะกับตำรวจอย่างรุนแรง


การชุมนุมประท้วงมาตรการโควิด-19 ของชาวกรุงปารีส กลายเป็นเหตุจลาจลย่อมๆ หลังตำรวจปราบจลาจลตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน หลังจากมีกลุ่มผู้ประท้วงบางส่วน เข้าขัดขวางรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจ จนทำให้รถล้ม ตำรวจ 2 นายที่นั่งมาด้วยกันบาดเจ็บ ใกล้สถานีรถไฟแซงต์ลาซาร์ จนตำรวจพยายามผลักดันมวลชนให้ถอยออกไป


นอกจากนี้ยังมีรายงานการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและตำรวจบริเวณถนนฌอง เอลิเซ่ มีการยิงแก๊สน้ำตา จนทำให้การจราจรบริเวณดังกล่าวต้องปิดชั่วคราว


การรวมตัวประท้วงดังกล่าวมีขึ้น ในขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กำลังอยู่ระหว่างลงคะแนนร่างกฎหมาย ที่จะมีการทำบัตรผ่านด้านสุขภาพ (health pass) ให้กับผู้ที่รับวัคซีนแล้ว เพื่อให้นำไปแสดงเวลาจะเข้าไปยังสถานที่สาธารณะต่างๆ รวมไปถึงร้านอาหาร หรือ ผับ บาร์ รวมทั้งการออกข้อบังคับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องฉีดวัคซีนทุกคน เพื่อหวังกระตุ้นให้ประชาชนให้ความร่วมมือในการรับวัคซีนมากขึ้น


อย่างไรก็ตาม กลับมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ไม่ต้องการฉีดวัคซีน และ ไม่พอใจ มองว่าการออกบัตรผ่านด้านสุขภาพดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจเผด็จการ พร้อมออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการที่จะเลือกฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนก็ได้ โดยทางการฝรั่งเศสเปิดเผยว่ามีผู้เข้าร่วมการชุมนุมทั่วประเทศกว่า 161,000 คน


ขณะเดียวกัน ที่มหานครซิดนีย์และเมลเบิร์น ของออสเตรเลียก็เกิดความวุ่นวายไม่แพ้กัน โดยมีผู้ประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ฝ่าฝืนคำสั่งกักตัวออกไปเดินขบวนและปะทะกับตำรวจเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


โดยตำรวจสั่งปรับผู้กระทำผิดไปแล้ว 510 คนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการประท้วงในวันเสาร์ และอย่างน้อย 57 คนถูกตั้งข้อหาก่อความไม่สงบ ซึ่งรวมถึง 2 คนที่ทำร้ายม้าของตำรวจ


ขณะนี้ มีชาวออสเตรเลียราวครึ่งหนึ่งของทั้งหมด 25 ล้านคนอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ในเมืองและรัฐต่างๆ และประชาชนเริ่มไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น เรื่องโครงการฉีดวัคซีนที่ล่าสุดมีผู้ที่ได้ฉีดครบ 2 เข็มไม่ถึง 13% ของประชากรทั้งหมดนับจากที่เริ่มฉีดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

คุณอาจสนใจ

Related News