เมื่อวานนี้ 10 มิ.ย. รัฐบาลฮ่องกงได้ออกมารณรงค์วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่จะฉีดให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ถึง 15 ปี โดยรัฐมนตรีจากกระทรวงต่างๆไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษา หรือกระทรวงความมั่นคงด้านอาหารและสุขภาพได้ร่วมแถลงโครงการวัคซีนว่า รัฐบาลได้อนุญาตฉีดวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ให้กับเด็กในฮ่องกงราว 2 แสน 4 หมื่นคนแล้ว ซึ่งรัฐมนตรีศึกษาได้เน้นย้ำในเรื่องนี้ว่า จะช่วยให้เด็กกลับไปเรียนในห้องเรียนได้ตามปกติ

ฮ่องกงพยายามรณรงค์ให้ประชากรราว 7 ล้าน 5 แสนคน มาฉีดวัคซีนให้มากที่สุด แต่จนถึงขณะนี้มีเพียงร้อยละ 15 ที่ได้รับวัคซีนครบสองโดส เนื่องจากประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาลและเกรงว่า จะเกิดผลข้างเคียงจากวัคซีน ปัจจุบันนี้มีหลายประเทศที่อนุญาตให้เด็กอายุดังกล่าวฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์ได้แล้ว ตั้งแต่แคนาดา สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป

ในขณะที่ออสเตรเลีย เมื่อวานนี้ 10 มิ.ย. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐนิว เซาท์เวลส์ ออกมายืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา รายที่สองในประเทศ เนื่องจากอาการลิ่มเลือดอุดตันที่สมอง เป็นหญิงวัย 52 ปี หลังจากพบผู้เสียชีวิตรายแรกไปเมื่อเดือนเมษายนเป็นหญิงวัย 48 ปี

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังไม่เปลี่ยนแปลงคำแนะนำให้หญิงที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปฉีดแอสตราเซเนกาได้ ออสเตรเลียพบผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาและมีอาการลิ่มเลือดอุดตันที่ยืนยันได้ 35 ราย ขณะที่อีก 13 ราย มีแนวโน้มว่าเกิดจากวัคซีน

ขณะที่สหรัฐฯ เมื่อวานนี้ 10 มิ.ย. ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค หรือ CDC เปิดเผยผลวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน 2 บริษัท ที่ผลิตโดยเทคโนโลยี mRNA คือ ไฟเซอร์และโมเดอร์นา ว่ามีผลทำให้เด็กวัยรุ่นชายที่อายุตั้งแต่ 16 ถึง 24 ปี ที่ฉีดวัคซีนสองยี่ห้อนี้ในเข็มสองมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมากกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยส่วนใหญ่ อย่างน้อยร้อยละ 81 ฟื้นตัวจากอาการดังกล่าว

ในสัปดาห์หน้า CDC จะหารือกับคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อประเมินความเสี่ยงในเรื่องนี้อีกครั้ง ก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลก็เคยรายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่พบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในคนหนุ่มที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ในประเทศด้วยเช่นกัน