ชาวบ้านสกลฯร้องตรวจสอบนายทุน อ้างมี น.ส.3 ครอบครองที่ดินกว่า 200 ไร่ ล่าสุดผู้ว่าฯรับเรื่องแล้ว

สังคม

ชาวบ้านสกลฯร้องตรวจสอบนายทุน อ้างมี น.ส.3 ครอบครองที่ดินกว่า 200 ไร่ ล่าสุดผู้ว่าฯรับเรื่องแล้ว

โดย panwilai_c

14 พ.ค. 2564

151 views

ชาวบ้านหนองปลาดุก อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ร้องให้หน่วยงานรัฐ รวมถึงข่าว 3 มิติ ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังจากมีลูกชายเจ้าของโรงสีรายใหญ่ในจังหวัด นำเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ไปแสดงสิทธ์ว่าเป็นเจ้าของที่ดิน ที่ชาวบ้านเข้าใจมาตลอดว่าเป็นป่าสงวน และเขตอุทยานฯ ซึ่งแปลงที่ดินเหล่านั้น กำลังจะถูกจัดสรรให้ชาวบ้านทำกินตามนโยบาย คทช.ทำให้เกิดข้อพิพาทกัน ขณะที่บันทึกตรวจสอบของกรมอุทยานฯ พบว่าที่ดิน 1 แปลง ในจำนวน 7 แปลง ที่ถูกร้องเรียน อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติฯทั้งแปลง


ชาวบ้านกลุ่มนี้ อยู่ที่บ้านหนองปลาดุก ตำบลพังขว้าง อำเภอเมืองสกลนคร ทั้งหมดกำลังมีชื่อจะเป็นผู้ทำกินบนที่ดิน ที่ถูกระบุว่าเป็นที่ว่างเปล่า โดยการสำรวจของกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้ ซึ่งดำเนินการตามนโยบาย คทช.


แต่ชาวบ้านอ้างว่าระหว่างที่ปลูกพืช ทำสวน มีลูกชายเจ้าของโรงสี นำรถแบ็คโฮ แทรคเตอร์ เข้าไปตักดิน ทำลายพืชสวน พร้อมอ้างเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 บนที่ดินดังกล่าว ซึ่งทำให้ชาวบ้านสงสัยว่า บริเวณนี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูล้อม เหตุใดจึงมีน.ส.3 ได้


นายหนูวัย แก้วหาญ อ้างว่าหลายสิบปีก่อน เจ้าของโรงสีคนหนึ่งทะยอยซื้อที่ดินบริเวณนี้ ซึ่งเป็นที่ป่าที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เจ้าของโรงสีมอบให้เขาช่วยดูแล หาคนเช่าปลูกมันสำปะหลังหรืออ้อย โดยมอบที่ดินให้เขา 1 แปลง เป็นค่าตอบแทนค่าจ้าง และเมื่อปีที่แล้ว มีการสำรวจผู้ถือครอง นายหนูวัย อ้างว่าได้ไปแจ้งเจ้าของที่ดิน ให้ไปแสดงตัวต่อทางการที่มาสำรวจ แต่ถูกเจ้าของที่ดินปฎิเสธว่าไม่ต้องการเกี่ยวข้อง เพราะไม่อยากมีปัญหาเหมือนกรณีนักการเมืองครอบครองที่ป่าสงวน


นายหนูวัยอ้างว่า นั่นคือสาเหตุที่เขาใส่ชื่อญาติและชาวบ้านหลายคน เพื่อให้ได้สิทธิ์ทำกิน แต่เมื่อต้นปีลูกชายนายทุนก็นำเอกสาร น.ส.3 ไปแสดงสิทธิ์ นั่นคือที่มาของความสงสัย


สมาชิกอบต.พังขว้าง ให้ข้อมูลทีมข่าวว่าเคยร้องเรียนให้ตรวจสอบไปแล้ว มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และอุทยานฯมาบันทึกประจำวันว่า ที่ดิน 1 แปลงเนื้อเกือบ 40 ไร่ ที่ลูกชายของเสี่ยคนนี้นำ น.ส.3 ฃมาแสดงนั้น อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูล้อมข้าวทั้งแปลง ทั้งหมดจึงขอให้ตรวจสอบน.ส.3 เพิ่มอีก รวม 7 แปลง


รองผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งกำลังตรวสอบข้อร้องเรียนนี้ ชี้แจงต่อข่าว 3 มิติว่า กรณีสงสัยว่าที่ดิน 7 แปลง อยู่ในเขตป่าของรัฐหรือไม่นั้น ได้สั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และอุทยานฯ ลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงร่วมกันก่อน หากอยู่นอกเขตป่าของรัฐ ก็อาจมีช่องให้ชาวบ้านฟ้องครอบครองปรปักษ์ แต่หากอยู่ในเขตป่ารัฐ ต้องพิสูจน์ว่าระหว่างประกาศเขตป่า กับการออกน.ส.3 ก่อน ฝ่ายใดมาก่อน


วันนี้ (14 พ.ค. 64)เจ้าหน้าที่ได้เริ่มสำรวจพิกัดแนวเขตแล้ว และนี่ไม่ใช่เฉพาะกรณี 7 แปลง แต่จะส่งผลต่อจำนวนป่าของรัฐ ทั้งป่าสงวน และอุทยานฯ ว่าถูกออกเอกสารทับหรือไม่ และหากเอกสาร น.ส.3 นั่นถูกต้อง ก็อาจจะเกิดประโยชน์ต่อชาวบ้านอีกจำนวนมาก ที่ยังเข้าใจว่าบริเวณนั้นเป็นที่ป่าสงวนฯที่ออกโฉนดไม่ได้ ซึ่งข้อเท็จจริงและคำชี้แจงจาก ผู้ถือเอกสาร น.ส.3 ข่าว3มิติจะนำเสนอต่อไป

คุณอาจสนใจ

Related News