วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขยายลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจำนวนผู้ประท้วง ที่ถูกกองกำลังรักษาความมั่นคง ใช้กำลังสลายการชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 540 คน ขณะเดียวกัน กองทัพเมียนมา ได้ใช้ปฎิบัติการทางอากาศ โจมตีฐานที่มั่นของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ เคเอ็นยู ทางตะวันออกของเมียนมา ที่มีชายแดนติดกับไทย เพื่อตอบโต้กองกำลังเคเอ็นยู ซุ่มโจมตีทหารเมียนมา เสียชีวิต 3 นาย โดยการโจมตีทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามแนวพรมแดนหลายพันคน ต้องอพยพหนีตายข้ามแม่น้ำมาหลบภัยในฝั่งไทย ขณะเดียวกันกองกำลังชาติพันธุ์ในเมียนมา ต่างแสดงความไม่พอใจประกาศร่วมต่อสู้กับผู้ประท้วง

ทูตพิเศษสหประชาชาติประจำเมียนมา ออกโรงเตือนว่ามีความเป็นไปได้ว่าเมียนมาจะเผชิญกับสงครามกลางเมือง และการนองเลือด หากกองกำลังรักษาความมั่นคงเมียนมา ยังไม่หยุดคงใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหาร และยังไม่คืนอำนาจให้กับประชาชน

สื่อท้องถิ่นรายงานว่า แกนนำประท้วงคนหนึ่ง ได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชน ร่วมกันต่อสู้แบบกองโจรเท่าที่จะทำได้ หลังจากทางการเมียนมา สั่งตัดสัญญาณอินเตอร์แบบไร้สายทั่วประเทศอีกครั้ง โดยไม่แจ้งเหตุผลและระยะเวลาในการตัดสัญญาณ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

ขณะที่ทนายของนาง ออง ซาน ซูจี เผยว่า นางซูจี รวมทั้ง รัฐมนตรี 3 คน และนายฌอน เทอร์แนล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนางซูจี ซึ่งเป็นชาวออสเตรเลีย ถูกตั้งข้อหาเพิ่มอีก 1 ข้อหา รวมเป็น 5 ข้อหา โดยข้อหาล่าสุด คือ ละเมิดกฎหมายความลับของราชการ ทำให้การที่ได้เห็นนางซูจี ได้รับการปล่อยตัวค่อนข้างมืดมน ทั้งนี้หากศาลตัดสินว่าผิดจริงในข้อหาดังกล่าว อาจต้องโทษจำคุก 14 ปี ปิดฉากบทบาททางการเมืองของนางซูจี อย่างแน่นอน