เปิดศึก 2 ก๊ก! ในการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ท้าทายบารมีของ "บิ๊กป้อม" ว่าจะคุมอยู่หรือไม่

เลือกตั้งและการเมือง

เปิดศึก 2 ก๊ก! ในการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ท้าทายบารมีของ "บิ๊กป้อม" ว่าจะคุมอยู่หรือไม่

โดย JitrarutP

31 มี.ค. 2564

209 views

คลื่นลมจากการปรับ ครม.สงบลงไม่ทันไร พรรคพลังประชารัฐกำลังเผชิญมรสุมลูกใหม่


หลังได้รัฐมนตรีใหม่ ครม.ประยุทธ์ 2/4 ทำให้กลุ่มก้อนในพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยขยับเดิมเกมต่อรองต่างหยุดทุกความเคลื่อนไหว แน่นอน หลังรู้ผลมีทั้งคนที่สมหวัง – ผิดหวัง และ บางกระทรวงยังได้ไปต่อไม่โดนปรับออก


แต่ด้วยจังหวะที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเป็นผลพวงจากคดีอดีตแกนนำ กปปส. คือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ไม่ใช่แค่พ้น ครม. แต่สะเทือนมาถึงโครงสร้างภายในพรรคพลังประชารัฐ เพราะ 2 คนนี้นั่งเป็น "รองหัวหน้าพรรค" อยู่ด้วย จึงจำเป็นต้องมีการจัดทัพกรรมการบริหารชุดใหม่ไปด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมใหญ่พรรคในช่วงเดือนเมษายนนี้


และตำแหน่งสำคัญที่มีกระแสข่าวว่าอาจมีการปรับเปลี่ยน ก็คือ "เลขาธิการพรรค" ที่มีการวัดกำลังของ 2 กลุ่มใหญ่ในพรรค


ปัจจุบันเลขาธิการพรรค คือ นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ จากกลุ่มสามมิตร


แต่มีข่าวหนาหูว่า "กลุ่ม 3 ช" หรือ 3 รัฐมนตรีช่วย กำลังผลักดันแกนนำมาเป็นแคนดิเดต คือ ซึ่งมีทั้ง ช.1 คือ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ ช.2 คือ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์


สำหรับอีก ช. ในกลุ่มนี้ คือ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกรพทรวงแรงงาน


นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า มีอีก ช.เข้าผนึกกำลังกับกลุ่มนี้ด้วย คือ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งผู้เป็นพ่อ คือ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล เป็นแรงผลักดันอยู่เบื้องหลัง


ก่อนหน้านี้นายวิรัช เคยปีนเกลียวกับ ร.อ.ธรรมนัส ถึงขนาด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคต้องเข้ามาอย่าศึก โดยยกให้เป็น "ทหารเอก" ทั้งคู่


แต่คงด้วยหลาย ๆ อย่างที่ลงตัว ทำให้ระยะหลังทั้งคู่สนิทแนบแน่นกันอย่างมาก และช่วยมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ "กลุ่ม 3 ช"


ทางด้านกลุ่มสามมิตร ที่ตอนนี้แกนนำเหลือเพียง 2 มิตร คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องบอกว่าระยะหลังค่อนข้างเก็บตัวนิ่งสนิท ยอมรับทุกการตัดสินใจของ "พล.อ.ประวิตร"


แต่หลังถูกลูบคมเขย่าเก้าอี้เลขาธิการพรรคของกลุ่ม นายสมศักดิ์ ได้ออกมาส่งสัญญาณ "ไม่ยอม" หลังถูกถามถึงเรื่องนี้ โดยบอกว่า "เปลี่ยนให้ผมเป็นแทนใช่ไหม"


ดูแล้ว ศึกนี้น่าจะเป็นมรสุมลูกใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ เพราะต่างฝ่ายต่างเคลมมี ส.ส.อยู่ในมือมากที่สุดของพรรค


เป็นมรสุมลูกใหญ่ถึงขนาดทำให้ "บิ๊กป้อม" ออกอาการหงุดหงิดระหว่างถูกจี้ถามเรื่องนี้ ถึงขั้นสบถใส่นักข่าว


แม้ในทางปฏิบัติตำแหน่ง "เลขาธิการพรรค" จะแทบไม่มีผลในพรรค เพราะอำนาจทั้งหมดรวมศูนย์อยู่ที่ พลเอกประวิตร เรียกได้ว่า "ทุกเรื่องจบที่ลุงป้อม" แต่นี่อาจหมายถึงดุลอำนาจของกลุ่มก้อนภายในพรรค ที่ท้าทายบารมีของ "บิ๊กป้อม"


รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์ว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มก้อนภายในพรรคพลังประชารัฐ เป็นเรื่องยากที่จะสงบนิ่ง เพราะจุดเริ่มต้นของพรรค ที่เป็นการรวมกลุ่มการเมือง ไม่ได้เดินตามธรรมชาติ จึงต้องยอมรับสภาพปัญหาของกลุ่มก๊วนต่างๆ แบบนี้


แต่ส่วนตัวเชื่อว่า พลเอกประวิตร จะสามารถคุมสถานการณ์ได้ การปรับเปลี่ยนจะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งหนักถึงขนาดพรรคแตกในระยะสั้น รวมทั้งที่เคยมีการมองกันว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นพรรคเฉพาะกิจ อยู่ไม่ถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ดร.ยุทธพร ก็ไม่มองเช่นนั้น


"แต่สิ่งที่ต้องเน้นย้ำ หากพรรคพลังประชารัฐจะเดินหน้าเป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง ไม่ใช่แค่พรรคเฉพาะกิจ ต้องทันการเมืองสมัยใหม่ ลบภาพที่มองกันว่า "การเมืองนอกสภาก้าวหน้า การเมืองในสภาล้าหลัง" คือ ไม่ตัดสินตำแหน่งอยู่ที่ตัวบุคคล หรือเลือกจากบางกลุ่ม แต่ต้องดูจากความสามารถ เหมาะสม เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา ไม่เช่นนั้นมองว่าเดินต่อได้ยาก"


ส่วนที่มีการเปรียบเทียบ "บิ๊กป้อม" กับนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลในอดีตอย่าง นายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งเป็นเคยผู้จัดการในหลายรัฐบาล ดร.ยุทธพร มองว่า ในแง่ความสัมพันธ์ในแวดวงการเมืองนายเสนาะอาจจะมีมากกว่าเพราะอยู่มานาน แต่สิ่งที่นายเสนาะไม่มีเหมือน "บิ๊กป้อม" คือ คอนเนคชั่นในแวดวงอื่น เช่น ทหาร นักธุรกิจ หรือ แม้แต่การเมืองในระยะหลังๆ พล.อ.ประวิตร ก็มีมาก และถ้าพูดเรื่องฝีไม้ลายมือ ต้องบอกว่าแทบไม่ต่างกัน อีกทั้ง พาวเวอร์ในเรื่องการตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จเพียงคนเดียว นี่เป็นจุดแข็งของ "บิ๊กป้อม" ที่ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดา


จับตาอนาคตพรรคพลังประชารัฐภายใต้เงาของ "พล.อ.ประวิตร" จะสามารถควบคุมได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดดังเช่นที่ผ่านมา อีกนานเท่าไร


บายไลน์ ทีมข่าวการเมือง

คุณอาจสนใจ

Related News