นานานาชาติยังคงออกมากดดัน และใช้มาตรการคว่ำบาตรกองทัพเมียนมาอย่างต่อเนื่อง หลังทำรัฐประหารตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนการชุมนุมยังคงมีประชาชนออกมาเคลื่อนไหว ให้รัฐบาลทหารยุติใช้ความรุนแรง และให้ปล่อยตัวอองซานซูจี

หลังจากเมื่อวันที่ 22 ก.พ. มีการนัดผละงาน เพื่อร่วมชุมนุมใหญ่ในหลายเมืองทั่วประเทศ ในช่วงกลางดึก ชาวเมียนมาในเมืองทวาย, นครย่างกุ้ง, เมืองมัณฑะเลย์, กรุงเนปิดอว์, และเมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศ พร้อมใจกันออกมาเคาะหม้อและกระทะ เพื่อแสดงออกการต่อต้านรัฐประหาร เป็นเวลา 15 นาที พร้อมจุดเทียนไขที่หน้าต่างบ้าน 

ส่วนในช่วงเช้าวันที่ 23 ก.พ. มีผู้ชุมนุมนัดรวมตัวกันที่ด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย ในนครย่างกุ้ง ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเหตุผลที่ผู้ชุมนุมมารวมกันที่หน้าสถานทูต เนื่องจากมีรายงานว่ารัฐบาลอินโดนีเซียออกมาสนับสนุนแผน ให้กองทัพเมียนมาปกครองประเทศ ไปอย่างน้อย 1 ปี ก่อนอนุญาตให้จัดการเลือกตั้งใหม่ สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งต่อมา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย ก็ได้ออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าว 

ขณะที่นานาชาติ ยังคงออกมากดดันรัฐบาลของกองทัพเมียนมา เร่งคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งล่าสุด สหภาพยุโรป แถลงว่าชาติสมาชิกมีมติเห็นชอบ เตรียมที่จะคว่ำบาตรกับกองทัพเมียนมา รวมถึงระงับความช่วยเหลือด้านการพัฒนา พร้อมกับประณามการทำรัฐประหารครั้งนี้และการใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม 

เช่นเดียวกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ก็ออกมาประกาศคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของกองทัพเมียนมาเพิ่มเติมอีก 2 คน ซึ่งได้แก่ พลอากาศเอก หม่อง หม่อง จอ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ และพลโท โม มยินต์ ตุน โดยเป็นการระงับการเข้าถึงทรัพย์สินของสหรัฐฯ และสั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศกับเจ้าหน้าที่ทั้งสอง นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเรียกร้องให้กองทัพยุติการทำรัฐประหารและคืนอำนาจให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 

ล่าสุด มีรายงานว่ากลุ่มประเทศ จี 7 ซึ่งประกอบไปด้วย แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, อังกฤษ, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประณามการใช้ความรุนแรงของทางการเมียนมา กับกลุ่มผุ้ชุมนุม พร้อมเรียกร้องให้เคารพหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายสากล