‘วิโรจน์’ ชำแหละ ‘นายกฯ-อนุทิน’ ปมวัคซีนโควิด ซัดไร้วิสัยทัศน์ทำคนไทยเสียโอกาส ไม่ทันประเทศอื่น

เลือกตั้งและการเมือง

‘วิโรจน์’ ชำแหละ ‘นายกฯ-อนุทิน’ ปมวัคซีนโควิด ซัดไร้วิสัยทัศน์ทำคนไทยเสียโอกาส ไม่ทันประเทศอื่น

โดย mintra_t

17 ก.พ. 2564

137 views

วันที่ 17 ก.พ. 2564 การอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 2 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่ผิดพลาด กระจุกความหวังของประชาชนไว้เพียงเจ้าเดียว ขาดความโปร่งใส ขัดขวางกลไกการตรวจสอบ ทำให้การฉีดวัคซีนล่าช้า เศรษฐกิจเสียหายเดือนละ 2 แสน 5 หมื่นล้านบาท ทุกๆ วันประเทศชาติเสียหายเป็นมูลค่า 8300 ล้านบาท คิดเป็นชั่วโมงละ 347 ล้านบาท ยิ่งล่าช้าก็ยิ่งเป็นความผิดฉกรรจ์ นี่คือความผิดที่นายกรัฐมนตรี และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะปฏิเสธความรับผิดชอบกับความเสียหายนี้ไม่ได้


“นี่ยังไม่นับพฤติกรรมท้าทายเอาชีวิตของประชาชนไปล้อเล่นของนายอนุทิน เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2563 พูดออกมาได้อย่างไรว่า โควิด-19 กระจอกงอกง่อย แต่พูดออกมาแล้วก็ดีประชาชนจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่กระจอก และคนที่กระจอกที่สุดก็คือ นายอนุทินคนนี้ ผมต้องขอโทษเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่อาจต้องใส่แมสก์ 2 ชั้น เพราะอีกสักพักอาจมีกลิ่นหนูตายคลุ้งสภา”


ทั้งนี้ ย้ำว่าทั้ง 2 คนรู้ดีว่าต้นเหตุ เกิดจากการปล่อยปละละเลย ทั้งบ่อนการพนัน และปัญหาการลักลอบของแรงงานต่างชาติ จนการแพร่ระบาดโควิดลุกลามบานปลาย รัฐบาลต้องประกาศพื้นที่สีแดงเข้มควบคุมสูงสุด กระทบกับปากท้องและการดำเนินชีวิตของประชาชน นักเรียนไม่ได้เรียนหนังสือ ประสบความทุกข์ยากและยังไม่รู้ว่าจะจบเมื่อใด ซึ่งโควิด-19 ไม่ใช่แค่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ แต่กระทบกับคนไทย 67 ล้านคนที่เดือดร้อนกันทั้งหย่อมหญ้า “พลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ และลูกน้องที่ชื่ออนุทิน ชาญวีรกูล ไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอฮะ”


โดยระหว่างการอภิปราย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจ ได้ลุกขึ้นประท้วง ว่าเป็นการอภิปรายในลักษณะส่อเสียด ซึ่งส่วนตัวเคารพว่าอาจมีเนื้อหามีมากพอสมควร แต่ขออย่าใช้การอภิปรายที่ส่อเสียด เพราะไม่ใช่การเมืองรุ่นใหม่ ซึ่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้วินิจฉัย บอกว่า ได้ฟังการอภิปราย มีคำเดียวที่จะเตือน คืออย่าใช้คำว่ากระจอกไปเทียบกับตัวบุคคลเพราะไม่เหมาะสม


จากนั้น นายวิโรจน์ ได้อภิปรายต่อ ตอกย้ำว่านายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน จะอ้างว่าไม่รู้ถึงความสำคัญของวัคซีน ต่อเศรษฐกิจไม่ได้ เพราะเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2563 นายอนุทิน ทำหนังสือกระทรวงสาธารณสุข ถึงนายกรัฐมนตรี ของบกลางสนับสนุนให้กับสถาบันวัคซีนฯ 1 พันล้านบาท ว่า “การมีวัคซีนเร็วขึ้น 1 เดือน จะช่วยทำให้ประชาชนสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประมาณ 2 แสน 5 หมื่นล้านบาท นี่เป็นหลักฐานว่าการฉีดวัคซีนต้องทำให้เร็วและครอบคลุมทั่วประเทศ” 


ดังนั้นยิ่งฉีดช้าก็ยิ่งสร้างผลกระทบกับประชาชน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าไทยจะฉีดวัคซีนเป็นอันดับแรกของโลกในปี 2564 แต่ทุกวันนี้เป็นอย่างไร พูดเท็จหรือพูดจริงกับคำพูดของนายกรัฐมนตรีและนายอนุทิน จึงเป็นคำถามว่าไทยจะเริ่มต้นฉีดเข็มแรกได้เมื่อไหร่ 


นายวิโรจน์ ตอกย้ำถึงการทำงานเช้าชามเย็นชาม ไร้วิสัยทัศน์กับแผนงานที่ล่าช้า กระจุกความเสี่ยงไว้กับไม่กี่บริษัท จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่าที่นายอนุทิน ประกาศว่าจะฉีดเดือนละ 10 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ครบ 63 ล้านโดสภายในปี 2564 ว่าได้เตรียมการรองรับไว้พร้อมหรือไม่ อยากให้ชี้แจงโดยละเอียด เพราะที่ผ่านมามีพฤติกรรมกลับกลอกเชื่อไม่ได้อยู่แล้ว และขอถามนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา กล้าเชื่อหรือไม่ ถ้าเชื่อทั้งคู่ ก็ให้สัญญากลางสภา เพราะถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปทั้งหัวหน้าและลูกน้อง


นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการตัดสินใจเลือกซื้อวัคซีนซิโนแวคจากจีนมาแก้ขัด ด้วยงบประมาณ 1,228 ล้านบาท ทำไมไม่เลือกซื้อจากซิโนฟาร์ม ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเดียวกันและขึ้นทะเบียนใช้งานทั่วไปแล้ว และผลการทดลองเฟส 3 พบว่ามีประสิทธิภาพสูงถึง 86% ถือเป็นวัคซีนหลักที่จีนใช้ฉีดให้กับประชาชน แต่ นายกฯ กลับเลือกซื้อวัคซีนซิโนแวค ที่ปรากฎเป็นข่าวมีกลุ่มทุนรายหนึ่งเข้าไปลงทุนด้วยเม็ดเงิน 1 หมื่น 5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นวัคซีนที่มีผลทดลองในประเทศบราซิล มีประสิทธิภาพเพียง 50.4% “ผมจึงต้องถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่านี่เป็นการนำเงินภาษีไปทำโครงการวัคซีนคนละครึ่งหรือไม่ คือ ครึ่งนึงรอด-ครึ่งนึงตาย”


นายวิโรจน์ ระบุว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุด เกี่ยวกับโครงการโคแวกซ์ ที่ไทยเสียโอกาส ซึ่งนายอนุทิน แถลงว่าการที่ไทยไม่เข้าร่วม เพราะไทยเป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง แต่ก็มีคำถามทันที ว่าทำไมประเทศชั้นนำหลายประเทศกว่า 172 ประเทศถึงเข้าร่วม ทั้ง อาเซียน สหภาพยุโรป หรือ สหรัฐอเมริกา อะไรที่ดลใจให้ใจกล้านำคนไทยไปกระจุกความเสี่ยงกับบริษัทแอสตราเซเนกายี่ห้อเดียว ที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน โดยดำเนินการผ่านบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ของไทย แต่กลับปิดบังข้อมูลทั้งที่ใช้เงินภาษีสนับสนุนกว่า 600 ล้านบาท ฟ้องคนที่ออกมาตั้งคำถามปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้


ทั้งนี้ ระหว่างการอภิปราย ได้มี ส.ส.ฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะ ทั้งประเด็นการใช้คำเสียดสี และ ท้วงติงเรื่องข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งนายชวน หลีกภัย ได้วินิจฉัยว่า ทั้งนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน สามารถชี้แจงในประเด็นที่ถูกพาดพิงได้


คุณอาจสนใจ

Related News