โดยมาตรการคว่ำบาตรของทางการสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้กับผู้นำกองทัพ, สมาชิกในครอบครัว และธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร อีกทั้ง ผู้นำสหรัฐฯ ยังประกาศยกเลิกการเข้าถึงกองทุนของรัฐบาลเมียนมา ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา มูลค่า 1 พันดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 3 หมื่นล้านบาท) และเตรียมออกมาตรการอื่น ๆ ตามมาด้วย 

ประธานาธิบดีไบเดน ยังได้เรียกร้องให้กองทัพเมียนมา ปล่อยตัวนาง อองซานซูจี และประธานาธิบดีวิน มินต์ รวมถึงกองทัพต้องสละอำนาจที่ยึดมา และเคารพความต้องการของชาวเมียนมาที่สะท้อนออกมาผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563

ส่วนสถานการณ์ประท้วงล่าสุดในเมียนมา วันนี้ เข้าสู่วันที่ 5 โดยที่รัฐกะยา ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ มีตำรวจทั้งชายและหญิง ในหมู่บ้านบาร์โด ราว 40 นาย ออกมาประท้วงชู 3 นิ้ว ต่อต้านรัฐประหาร ขณะที่ตำรวจระดับสูงได้เดินทางมาเจรจา ให้ตำรวจทั้ง 40 นายกลับมาทำหน้าที่ แต่ตำรวจที่ประท้วงยืนกรานจะไม่กลับไป เนื่องจากจุดยืนและความต้องการต่างกัน พวกเขาขอแสดงพลังคัดค้านการรัฐประหารอยู่ตรงนี้ นอกจากตำรวจกลุ่มนี้แล้ว ยังมีชาวบ้านในหมู่บ้านทะยอยออกมาร่วมประท้วงด้วย

ส่วนที่นครย่างกุ้ง และเมืองมัณฑะเลย์ มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในเมียนมา ทั้ง ไทใหญ่, กะเหรี่ยง, คะฉิ่น, กะยา และอีกมากมาย ออกมาร่วมเดินขบวนชุมนุม โดยหลายคนพากันแต่งกายด้วยชุดชนเผ่าพื้นเมือง หลากสีสันแบบจัดเต็ม นอกจากนี้ ยังมีผู้ชุมนุมที่เป็น พนักงานโรงงาน, เจ้าหน้าที่รัฐ, บุคลากรทางการแพทย์, พระสงฆ์, นักบวชศาสนาคริสต์ และกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ)

ส่วนที่รัฐฉาน กลุ่มผู้ชุมนุมพากันขับเรือหางยาวออกมาหลายลำเป็นขบวนขนาดใหญ่ เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง ในทะเลสาบอินเล มีการถือป้ายข้อความที่เรียกร้องให้กองทัพเคารพคะแนนเสียงของประชาชน พร้อมกับคืนอำนาจให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และปล่อยตัวนักการเมืองที่ถูกจับกุมตัวไป

ขณะเดียวกันก็มี กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหลายร้อยคน รวมตัวประท้วงกันที่ด้านหน้าสถานเอกอัครทูตจีน ประจำนครย่างกุ้ง เนื่องจากทางการจีนไม่ออกมาประณามการทำรัฐประหารของกองทัพ ผู้ชุมนุมหลายคน พากันสวมใส่เสื้อผ้าสไตล์จีน เนื่องจากวันนี้ ตรงกับวันตรุษจีน พร้อมกับถือป้ายข้อความ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน และนั่งรับประทานหมูกระทะด้านหน้าสถานทูต