หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูล การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ ซ้ำซ้อนกับเงินบำเหน็จบำนาญ จนปัญหามาเกิดกับคนชรา ที่ต้องใช้หนี้ย้อนหลัง วันที่ 26 ม.ค. ได้มีการเปิดเผยปัญหาเดียวกันนี้อีกหลายราย

นางประจวบ ผะดาวัลย์ อายุ 73 ปี ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ได้รับหนังสือเรียกคืนเงินเบี้ยผู้สูงอายุย้อนหลัง 11 ปี ตั้งแต่เดือน เม.ย.2552 ถึง พ.ย.2563 รวมเป็นเงินพร้อมดอกเบี้ยกว่า 7 หมื่นบาท

เริ่มจากสามีนางประจวบ เป็น ตชด. เสียชีวิตจากการต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย ที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เมื่อปี 2515 ทำให้นางประจวบ ได้รับเงินบำนาญพิเศษ และตอนนี้ทางเทศบาลได้ส่งเรื่องฟ้องต่อศาลแขวงนครราชสีมา ซึ่งในวันที่ 18 ก.พ.นี้ ศาลได้มีหมายเรียกให้นางประจวบ ในฐานะจำเลย ไปทำการไกล่เกลี่ยและสืบพยาน 

นอกจากนี้ยังพบอีก 2 ราย คือ นางสัมฤทธิ์ ภู่สว่าง อายุ 83 ปี และนางก่วง สมบูรณ์รัมย์ อายุ 83 ปี ชาวบ้านหมู่ 4 และ หมู่ 3 ตำบลจอหอ ถูกเรียกคืนเงินเบี้ยผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน รายของนางสัมฤทธิ์ ถูกเรียกคืนเงินย้อนหลัง 14 ปี ตั้งแต่ เม.ย.2549 ถึง พ.ย.2563 รวมเป็นเงินพร้อมดอกเบี้ยประมาณ 8 หมื่นบาท

ส่วนนางก่วง ถูกเรียกคืนเงินเป็นระยะเวลา 14 ปี เหมือนกัน ยออดเงินประมาณ 8 หมื่นบาทเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งสองได้รับเงินบำนาญพิเศษจากสามีที่เสียชีวิตในหน้าที่เหมือนกัน และถูกศาลแขวงนครราชสีมาเรียกทำการไกล่เกลี่ย วันที่ 18 ก.พ.นี้

ล่าสุด นายกเทศมนตรีตำบลจอหอ เปิดเผยว่า มีผู้สูงอายุ 13 ราย ถูกเรียกเงินคืน ยืนยันได้แจ้งให้ทุกรายทราบแล้ว แต่มี 4 ราย ที่ยังไม่เจรจาชำระ จำเป็นต้องฟ้องศาล ไม่เช่นนั้นก็จะผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรื ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปหาข้อเท็จจริง เพื่อดูว่าจะดูแลอย่างไร และบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าหลายปีแล้ว เพราะปัจจุบันแต่ละหน่วยงานทำงานเชื่อมโยงกันแล้ว