ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หน.ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยถึงวัคซีนโควิด-19 มีเป้าประสงค์หลักเพื่อต้องการลดความรุนแรงของโรค ดังนั้นวัคซีนควรให้ในกลุ่มเสี่ยงคือกลุ่มผู้สูงอายุผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกลุ่มที่หากได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการรุนแรงหรือมีโอกาสการเสียชีวิตสูง เป็นกลุ่มแรกที่ขวดได้รับวัคซีนส่วนกลุ่มวัยแรงงานคนหนุ่มสาวยังไม่มีความจำเป็นในขณะนี้

 

ส่วนของกลุ่มเด็กเองก็เช่นกัน ยังไม่มีข้อมูลรายงานการทดลองการใช้วัคซีนในเด็ก จึงยังไม่สามารถฉีดให้กับเด็กต่ำกว่า 18 ปีได้ต้องรอการศึกษาต่อในระยะต่อไป เช่นเดียวกับกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่ยังต้องรอการศึกษาข้อมูลก่อน

 

ทั้งนี้วัคซีนถือเป็นตัวช่วยเสริมในการควบคุมป้องกันโรค ซึ่งมาตรการหลักยังคงเป็นการป้องกันดูแลตัวเองตามมาตรการส่วนบุคคล ดังนั้นในตอนนี้ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าวัคซีนยังเป็นสิ่งใหม่ที่ต้องดูและประเมินประสิทธิภาพต่อเนื่องเพื่อการพิจารณาเลือกใช้ในอนาคต

 

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยว่าบริษัท แอสตราเซเนกาได้คอนเฟิร์มการส่งวัคซีนโควิด-19 สำเร็จรูปล็อตที่ผลิตจากต่างประเทศเข้ามาให้กับประเทศไทย จำนวน 150,000 โดส

 

โดยคอนเฟิร์มว่า 50,000 โดสแรก จะส่งมาจากยุโรปเข้ามาในประเทศไทยต้นเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะทยอยส่งเข้ามาในเดือนมีนาคมและเมษายน ซึ่งจะสอดคล้องกับส่วนที่จะผลิตในประเทศไทยต่อเนื่องกัน

 

ฉะนั้น ตัวที่เข้ามาตัวแรกคือแอสตราเซเนกา เพราะซิโนแวคยังรอการขึ้นทะเบียนในประเทศจีน ดังนั้นหากจะมีการฉีดเข็มแรกในประเทศไทย แนวโน้มน่าจะเป็น แอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งก็ดีเพราะเป็นยี่ห้อเดียวกัน สูตรเดียวกันกับที่กำลังผลิตในประเทศไทยโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์

 

 

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/_wigcL56vjQ