นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อดีตอัยการสูงสุด และในฐานะประธานคณะกรรมการอัยการ ยืนยันว่า กฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญาของประเทศไทย ถือว่าดีที่สุดในโลก เพราะมีการเปิดโอกาสให้คานอำนาจกันระหว่างอัยการ ตำรวจ และผู้เสียหายในคดีนั้นได้ ซึ่งต่างจากหลายประเทศที่อัยการมีสิทธิ์เด็ดขาดในการสั่งฟ้องคดี และการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมทางคดีก็เปิดโอกาสให้ทั้งผู้เสียหาย และผู้ต้องหายื่นได้ตลอดหากพบว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมทางคดี

ขณะเดียวกันในฐานะประธานคณะกรรมการอัยการ หลังจากเกิดเรื่องดังกล่าวก็ได้ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุดให้เร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวทันทีโดยมีผู้เชี่ยวชาญของอัยการเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการ 7 คน และกำหนดให้สอบสวนอัยการ และหน่วยที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ รวมทั้งให้ชี้แจงกับประชาชนเป็นระยะ และจัดแถลงข่าวตอบข้อซักถามและคลายข้อสงสัยให้ได้ ซึ่งมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคมนี้ ขณะเดียวกันก็มีคำสั่งในรายงานคดีนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการอัยการที่จะประชุมในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ด้วย

โดยการตั้งคณะทำงานชุดนี้ขึ้นมาต้องการให้พิจารณาตามข้อกฎหมายของอัยการผู้สั่งคดีว่าใช้ดุลยพินิจในการสั่งคดีตามข้อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนตัวขณะนี้มีคำตอบในใจแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ และยืนยันว่าอัยการไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้ แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับอัยการผู้สั่งคดีด้วยว่าเป็นการใช้กุลยพินิจอย่างรอบคอบหรือไม่ ซึ่งหากมีความผิดจริง ก็มีบทลงโทษอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญา เสนอหลักฐานใหม่ในคดีที่อาจนำมาสู่การดำเนินคดีใหม่ได้นั้น ก็เห็นว่า ส่วนตัวเห็นว่ามีหลักฐานใหม่ที่จะดำเนินคดีนี้ได้อีกเยอะ แต่ยังไม่สามารถพูดได้เพราะอาจจะเป็นการชี้นำ เนื่องจากอยู่ในฐานะประธานคณะกรรมการอัยการ

นายอรรถพล ยังระบุว่า ระบบกฎหมายของไทยแม้จะเป็นระบบที่ดีที่สุดของโลก แต่ก็ยังเอนเอียงได้หากการใช้ดุลยพินิจของผู้สั่งคดีทำไม่ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีอาญาก่อนหน้านี้จะอาศัยประจักษ์พยานเป็นพยานที่เชื่อถือได้ แต่หลักจากที่พยานทางนิติวิทยาศาสตร์มีขึ้นมาก็ทำให้หลายคดีมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น และเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญที่สุด

ชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/IbDxJ1zm9lY