สังคม

ใครโกหก? อดีตพนง.สาวแจงยิบ ถูกจับปี 65 จนท.โทรบอกคดีจบแล้ว ตร.ยันเบี้ยวนัด ย้ำไม่เคยโทร

โดย panwilai_c

1 พ.ค. 2567

200 views

วันนี้คุณเหมียว ที่หลายคนเรียกว่า อดีตพนักงานบริษัทดัง ออกมาชี้แจงถึงประเด็นที่เกิดขึ้น ยอมรับตนเองผิดกรณีเมาแล้วขับ แต่วันนี้ตนมีข้อสงสัย ทั้งที่ขอโทษคู่กรณีแล้ว และคู่กรณีไม่ติดใจ แต่ทำไมถึงเป็นข่าว ด้านคดีปี 65 ยันไม่ได้เมาแล้วขับ และเจ้าของคดีบอกไม่ต้องมาแล้ว



คุณมนธ์สินี หรือ เหมียว ได้เปิดใจ และเล่าเรื่องราวคืนวันเกิดเหตุ หลังมาชี้แจงในรายการโหนกระแสกับทีมข่าวว่า ตนเองยอมรับในส่วนที่ผิด คือดื่มเกินปริมาณ แต่ที่ผ่านมามีเหตุการณ์หลายอย่าง ที่ตนเองแสดงความจริงใจมาตลอด ทั้งทางฝั่งคู่กรณี ซึ่งเป็นระดับรองผู้กำกับการ ตนก็มีการติดต่อไปขอโทษเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเจ้าตัวบอกกับตนว่าไม่ให้บอกกับสื่อว่าได้ขอโทษแล้ว ตนเองจึงเคลือบแคลงใจว่ามีเจตนาอะไรหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่คุยกับตนเองกับคุยกับสื่อ มันคนละอย่างกัน



และตนเอง งงมาก ว่าทำไมจู่ๆ จึงเป็นข่าว ทั้งที่มีการขอโทษไปแล้ว แต่หลังจากวางสายไป 10 นาที กลับมีคลิป body camera ของตำรวจเผยแพร่ออกมา ตนจึงโทรศัพท์กลับไปสอบถาม ซึ่งคู่กรณีก็บอกว่าตนเองต้องส่งคลิปไปให้ตำรวจ สน.ประเวศ ประกอบสำนวน ทำให้ตนค่อนข้างงงว่ามีเจตนาอะไร



คุณเหมียวยังเล่า ย้อนกลับไปในคืนเกิดเหตุ ว่า ที่เรื่องราวกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เป็นเพราะหลังจากที่ตนเองเป่าวัดแอลกอฮอล์แล้ว ตำรวจกลับให้เดินไปหาชายสองคน ที่นั่งอยู่ใกล้กับรถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดตรวจประมาณ 10 เมตร ซึ่งตนเองยอมรับว่าขณะนั้นรู้สึกกลัว และไม่รู้ว่าจะให้ตนเองไปที่รถมอเตอร์ไซต์เพื่ออะไร พอไปถามมอเตอร์ไซค์ ก็ไม่รู้ว่าจะพาไปที่ไหน ตนเองเป็นผู้หญิงและดึกแล้ว เลยทำให้กลัว จึงเดินกลับไปสอบถามว่าทำไมต้องให้เดินไปหา นี่คือประเด็นที่ตนเองเคลือบแคลงสงสัย และยังไม่ได้คำตอบ



จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ตามคลิปที่ปรากฏ คือทางเจ้าหน้าที่พยายามดำเนินการจับกุมตนเอง ซึ่งตนเองก็ต้องการให้ชี้แจงว่าทำไมจึงให้เดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ระหว่างนั้น ตนจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพ เพื่อดูรีแอคของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เหมือนพูดตามบท ตนเองยอมรับว่าในเมื่อยังไม่ได้คำตอบ ก็จะไม่ไปไหน จึงมีการพยายามสอบถาม



จากนั้นเริ่มมีการพยายามคุมตัวไปขึ้นรถ จะขอใส่กุญแจมือ ก็มีการจับตัว และให้ขึ้นรถของทางเจ้าหน้าที่



เมื่อไปอยู่ที่บริเวณที่นั่งด้านหลัง ตนก็อยู่ในท่าทางที่ไม่สบายตัว หายใจไม่สะดวก ประกอบกับก่อนหน้านี้ที่เคยเป็น โควิด-19 ทำให้หายใจไม่สะดวกอยู่แล้ว ซึ่งตนเองรู้สึกเจ็บด้วย จึงพยายามที่จะคลายล็อก ทำให้เท้าไปถีบโดนอะไรบางอย่าง ยืนยันว่าไม่ได้เจตนาว่าจะถีบตรงไหน แต่แค่อยากให้อยู่ในท่าทางที่นั่งให้สบายกว่านี้ ยอมรับว่ารู้ว่าเท้าไปโดนคู่กรณี แต่ไม่รู้ว่าโดนที่ไหน และไม่ได้ตั้งใจ



ที่ตนเองตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมคลิปของทางเจ้าหน้าที่จึงปรากฏออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น ทำไมไม่มีภาพขณะที่ตนเองเป่าวัดแอลกอฮอล์ มีเพียงตอนที่กำลังจะจับกุม และตัดภาพไปอีกทีคือที่สน. ประเวศ ซึ่งไม่มีภาพบรรยากาศในรถ ที่มันมีเรื่องราวเกิดขึ้น แต่ตนไม่อาจจะพูดอะไรมากได้ เพราะอาจจะเป็นเรื่องคดี แต่บอกเพียงว่า ขณะถูกจับกุมในรถ ตนก็โดนอะไรบางอย่างเข้าที่ศีรษะ แต่ไม่ขอเปิดเผยอะไร บอกกับทีมข่าวเพียงว่า "เหมียวมีใบรับรองแพทย์แล้วกันค่ะ"



ส่วนที่บางช่วงในคลิปมีการพูดว่า "ชั้นต่ำ" นั้น ยืนยันว่ามันมีเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเยอะ ที่ตนเองถูกกระทำ และไม่เป็นธรรม ทั้งนี้หลังคืนวันนั้น ตนเองก็ไม่พูดอะไรมากอีกเลย ยอมรับว่าห่วงความปลอดภัย



ส่วนอีกหนึ่งประเด็นที่ข้องใจคือ ทำไมคดีนี้ จึงถึงโยงไปถึงคดีเมื่อปี 2565 ทั้งที่ตนไม่ได้ถูกตั้งข้อหาเมาแล้วขับ ตนเองรู้สึกงงว่าถูกดึงมาได้อย่างไร ซึ่งตนเองมั่นใจว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว และไม่ได้มีประเด็นอะไรเลย แต่ในเมื่ออยากจะรื้อขึ้นมา ตนก็ให้ความร่วมมือ



ก่อนแล้วย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่าวันนั้น เป็นช่วง โควิด-19 ระบาด ตนเองไม่ได้ดื่ม พอมาเจอด่านตรวจ ตนเองจึงเอาเอทิลแอลกอฮอล์ที่พกติดตัว มาพ่นใส่ที่เป่าวัดแอลกอฮอล์หลายครั้ง หลังจากการเป่าจึงทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนนั้นก็ได้ชี้แจงกับพนักงานสอบสวน และส่งขวดสเปรย์ดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนเพื่อนำส่งต่อกระทรวงสาธารณสุขในการตรวจสอบว่า ปริมาณแอลกอฮอล์ที่พบหลังการเป่ามาจากเอทิลแอลกอฮอล์นี้หรือไม่



พร้อมกันนี้ คุณเหมียวได้นำตัวอย่างแอลกอฮอล์ที่ใช้ตอนนั้นมาให้ทีมข่าวดู ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ 70% ที่คุณเหมียวอ้างว่า ใช้ยี่ห้อนี้ในการฉีดพ่นตลอดในช่วงนั้น ทั้งช้อน ส้อม จาน ชาม



ซึ่งขณะนี้ตนเองก็ยังไม่ทราบคำตอบว่า ปริมาณแอลกอฮอล์ดังกล่าวจะส่งผลกับการเป่าหรือไม่ แต่จากที่ไปค้นหางานวิจัย ว่าแม้แต่สเปรย์ดับกลิ่นปาก (mouth spray) ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 27% ซึ่งผลวิจัยยังบอกว่าจำนวน 27% ก็ยังมีผลต่อการเป่าวัดแอลกอฮอล์แล้ว และงานวิจัยก็บอกว่าหากจะไม่ให้มีผลจะต้องรอหลังจาก 20 นาทีหลังจากการฉีด ซึ่งข้อมูลนี้ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาได้เลย



พร้อมยืนยันว่าหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ ทางพนักงานสอบสวนก็บอกว่าตนเอง ไม่ต้องมาที่สน. แล้ว ทำให้ตนเองเข้าใจว่าเรื่องราวจบไปแล้ว ส่วนที่เจ้าของคดีออกมาแจงว่า ไม่เคยติดต่อตนเองมาว่า ไม่ต้องเข้ามาที่ สน.แล้ว ตนเองก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรด้วยเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นนานแล้ว แต่ไม่เป็นไรก็สู้กัน



ส่วนวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ที่มีการนัดส่งฟ้อง ตนเองไม่แน่ใจว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร แต่เท่าที่ทราบคือ เรียกไปสอบสวน แต่ตนเองจะต้องขอไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งนี้ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ เราอยากเคลียร์เรื่องนี้อยู่แล้ว



ด้านนายเฉลิมศักดิ์ กาญจนศิราธิป ทนายความ ระบุว่า ส่วนที่รับสารภาพได้ก็รับสารภาพไป ส่วนข้อหาไหนที่กล่าวหากันมา อาจจะเกินความจริงมา ก็จะต้องต่อสู้กันไป



ส่วนคดีเมื่อ ปี 65 คุณเหมียวได้ปฏิเสธมาตลอด และบอกว่าได้ใช้เอทิลแอลกอฮอล์ในการฉีดพ่นเครื่องเป่าวัดแอลกอฮอล์ แต่เมื่อมีการรื้อเรื่องมาฟ้อง ก็ต้องมาดูข้อเท็จจริง และดูผลของการตรวจของกรมวิทยาศาสตร์ฯ ว่าใช่ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ เพราะขณะนี้ก็ยังไม่ทราบผล



ผู้กำกับการ สน.ประเวศ ยันพร้อมให้ปากคำ หลังถูกตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี อดีตพนักงานญิงถูกจับเมาแล้วขับตั้งแต่ปี 65 แต่ผ่านไป 2 ปีคดียังไม่ถูกสั่งฟ้องต่อศาล ขณะที่พนักงานสอบสวนที่ทำคดีในขณะนั้น ยืนยัน ผู้ต้องหาหลังได้ประกันตัวไม่มาพบตามนัด ทำให้ไม่สามารถนำตัวไปผลัดฟ้องที่ศาลพระโขนงได้



พันตำรวจเอกสุรพงษ์ พุฒขาว ผู้กำกับการ สน.ประเวศ ยืนยันว่าผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีตำรวจจราจรกลาง จับกุม อดีตพนักงานหญิง ดำเนินคดีเมาแล้วขับเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 65 หลังวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ แต่จนถึงขณะนี้ คดียังไม่มีการนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องศาลจังหวัดพระโขนง ทั้งที่คดีผ่านมานานถึง 2 ปี



ซึ่งในขั้นตอนการสอบสวน จะมีคณะทำงานจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 4 เป็นผู้ควบคุม และจะต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด เช่นพนักงานสอบสวนในขณะนั้น รวมถึงตัวผู้กำกับ ก็คือตนเอง เพื่อให้ข้อมูลว่าเกิดความผิดพลาดอย่างไร การทำงานมีความผิดพลาดหรือไม่ ซึ่งหากพบว่ามีใครกระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามขั้นตอน



ทั้งนี้คดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนคนเดิม ได้ทำสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนคนเดิม ได้มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายให้ไปปฏิบัติงานที่อื่น จึงทำให้ขาดช่วงในการที่จะรับไม้ต่อ ในการส่งฟ้องผู้ต้องหา แต่คดีนี้มีอายุความ 5 ปี เนื่องจากผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ตำรวจสามารถนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องต่อศาลได้ตลอด ในระยะเวลา 5 ปี โดยภายในสัปดาห์หน้า จะนำตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพระขโนงอย่างแน่นอน



ขณะที่พนักงานสอบสวน ที่ทำคดีอดีตซีอีโอ ในข้อหาเมาแล้วขับเมื่อปี 65 ซึ่งพบว่าขณะนี้ มียศพันตำรวจตรี อยู่ที่ สน.นางเลิ้ง เปิดเผยว่าวันที่ตำรวจจราจรกลาง นำตัว อดีตซีอีโอ มาให้ตนทำบันทึกจับกุม คือวันที่ 17 สิงหาคม 65



ตนได้อธิบายถึงขั้นตอนและข้อหาที่จะดำเนินคดี แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธว่าไม่ได้เมา โดยบอกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้นสูงเพราะเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ปนเปื้อนกับแอลกอฮอล์ที่ฉีดเพื่อฆ่าเชื้อ



ซึ่งตนก็ได้เอาแอลกอฮอล์ของผู้ต้องหา ที่บอกว่าใช้ฉีดใส่เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ส่งไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อความเป็นธรรม และคืนนั้นก็อนุญาตให้อดีตซีอีโอประกันตัว เพราะผู้ต้องหาต่อสู้คดี



โดยในใบสัญญาประกัน ได้ระบุไว้แนบท้ายว่า ผู้ต้องหาจะต้องมาพบกับพนักงานสอบสวน ก็คือตนเอง ที่ สน.พระโขนง ในวันที่ 19 สิงหาคม 65 เวลา 8.30 น. เพื่อตนจะได้นำตัวผู้ต้องหาไปผลัดฟ้องฝากขัง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ในกรณีที่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ทั้งนี้จากการสังเกตุ โดยส่วนตัวตนเห็นว่าผู้ต้องหามีอาการเหมือนกับคนเมาสุรา



แต่วันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันนัด ผู้ต้องหาไม่ได้มาพบกับตน ทำให้ตนไม่สามารถนำผู้ต้องหาไปผลัดฟ้องที่ศาลจังหวัดพระขโนงได้ และตนก็ไม่ได้ติดต่อกับผู้ต้องหาอีก



เนื่องจากต้องรวบรวมหลักฐานทางคดี และรอผลการตรวจแอลกอฮอล์ที่ผู้ต้องหาบอกว่าใช้ฉีด ใส่เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ จนทำให้ค่าแอลกอฮอล์ ขึ้นสูง จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์



โดยวันที่ 14 พฤศจิกายน ตนได้ทำหนังสือไปที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อทวงถามถึงผลการตรวจแอลกอฮอล์ของกลางที่ส่งไป และหลังจากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงส่งผลการตรวจแอลกอฮฮล์ที่ผู้ต้องหาใช้มาใหักับตน



จนต้นเดือนมกราคมปี 66 ตนได้สรุปสำนวนเรียบร้อย แต่ช่วงกลางเดือนมกราคม ตนติดภารกิจอบรมจึงยังไม่ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ตนถูกคำสั่งย้ายให้ไปปฏิบัติราชการที่อื่น



ทำให้สำนวนจึงยังคงอยู่ที่ สน.ประเวศ แต่ ตนก็ได้มอบสำนวน จึงทำให้ไม่ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา แต่ก็ได้ส่งสำนวนให้กับทางโรงพัก เพื่อให้ผู้บังคับบัญชา มอบหมายให้พนักงานสอบสวนรายอื่น รับช่วงต่อตามขั้นตอนแล้ว



จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการส่งฟ้องอดีตพนักงานรายนี้ ทั้งที่ตนสำนวนเสร็จแล้ว ยอมรับว่าตกใจ โดยหลังจากนี้ตนจะต้องไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีนี้ เช่นกัน



ทั้งนี้ตนขอชี้แจงถึงประเด็นหลังผู้ต้องหาได้มาออกรายการโหนกระแส และบอกว่า ตนได้โทรศัพท์ไปหาหลังจากที่ผู้ต้องหาถูกจับผ่านไป 3 สัปดาห์และบอกว่าไม่ต้องมาพบตำรวจแล้ว เรื่องมันจบแล้ว ขอยืนยันว่าตนไม่เคยโทรศัพท์ไปบอกผู้ต้องหาอย่างที่ผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด



ขณะที่นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า กรณีเมาแล้วขับ หากผู้ต้องหารับสารภาพ พนักงานสอบสวน จะต้องส่งฟ้องศาลภายใน 48 ชั่วโมง



แต่กรณีที่ผู้ต้องหาปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว โดยหากยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนจะต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อผลัดฟ้องผู้ต้องหาซึ่งทำได้ 5 ผลัด คือ 30 วัน ถ้ารวมกับ 48 ชั่วโมง คือ 2 วันก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าจะต้องสั่งฟ้องผู้ต้องหาภายใน 32 วัน



แต่หากเกิน 32 วัน พนักงานสอบสวนจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุด ส่วนกรณีที่บอกว่าอายุความ 5 ปี หมายถึงกรณีที่ผู้ต้องหาหลบหนี ตำรวจสามารถสืบหาตัวผู้ต้องหาเพื่อนำมาส่งฟ้องได้ภายในระยะเวลาอายุความ



ส่วนคดีของอดีตพนักงานรายนี้ พนักงานสอบสวนสามารถนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องกับศาลได้เพราะยังอยู่ในอายุความ แต่ต้องทำเรื่องมาที่อัยการตามขั้นตอน


https://youtu.be/TUGJ-WPU-7w

คุณอาจสนใจ

Related News